สำหรับคนในปัจจุบันนี้
การลงไปศึกษาปฎิบัติทำความเข้าใจทางลึกของพระอภิธรรมต่างๆ คงจะมีความยากลำบากอยู่ไม่น้อย
เมื่อไม่เข้าใจก็จะไม่มีศรัทธาที่จะเพียรพยายามต่อไปเพื่อจะพ้นทุกข์ แม้ว่าจะจมอยู่ เป็นเนื้อเป็นตัวอยู่กับทุกข์ก็ยอมปล่อยไปอย่างนั้น
หรือเลยต่อไปถึงว่า ไม่มีหรอกเรื่องที่จะพ้นทุกข์ในสมัยนี้มีแต่สมัยพระพุทธเจ้าเท่านั้น
สมัยนี้เป็นเรื่องต้องแข่งต้องแย่งกันคนอื่นทำเราก็ทำได้ ถูกผิดเป็นเรื่องคิดเอาเอง
ไม่มีเรื่องต้องน่าละอายอะไร จะผิดศีลธรรมอย่างไรก็มีข้ออ้างว่าคนอื่นๆก็ทำกัน เมื่อคนส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้นคนส่วนน้อยในสังคมนั้นก็ต้องเออออไปเพื่อประคองตัวเองให้พอเป็นไปในกลุ่มได้ไม่แปลกแยกนัก
นานไปก็ชินเห็นเป็นความปกติในการดำเนินชีวิต
จนเมื่อต้องไปอยู่ในสังคมอีกอย่างหนึ่งหรือในประเทศหนึ่งที่อุดมไปด้วยผู้ปฎิบัติธรรมจึงมีการกลับมาคิดได้ว่าส่วนที่เป็นกุศลธรรมต่างๆยังมีอยู่เป็นประโยชน์สุขทั้งกับตนเองและผู้อื่น
นิวรณ์ 5 เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนให้ละเว้น มีพบอยู่ในหลายหัวข้ออื่นๆในพระไตรปิฎก
คงต้องมีความสำคัญไม่น้อยทีเดียวจึงพบบ่อยมาก นิวรณ์ 5 ที่ควรละจึงมีประโยชน์ดีเหมาะทีเดียวที่จะนำมาปฎิบัติในชีวิตประจำวันนอกเหนือจากการถือศีล
5 เพราะเริ่มเข้าไปสลัด ละ ต้นตอของความเศร้าหมอง
ละการบั่นทอนกำลังของปัญญาที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆตามจริง เพื่อจะเห็นความไม่เที่ยง
ไม่แน่นอน ไม่มีความเป็นของตัวตน และเบื่อหน่ายไปเอง
ด้วยเหตุเหล่านี้ก็ง่ายที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ไปตามธรรมชาติ
พระสูตรข้อนี้แนะนำให้อ่านเพราะชัดเจนดีอ่านง่ายตรงมากพูดถึงนิวรณ์
5
ว่าเป็นธรรมะที่ทำให้ปัญญาไม่มีกำลัง ควรจะละเสีย นิวรณ์ทั้ง 5
ที่ควรละประกอบด้วย
·
ความอยากในกามทั้งหลาย
·
ความพยาบาท
·
ความหดหู่เหงาง่วง
·
ความคิดฟุ้งซ่าน
·
ความลังเลสงสัย
การละนิวรณ์เหล่านี้เป็นธรรมะที่คงจะเข้าใจได้ง่ายสำหรับคนทั่วไปสมัยนี้
ไม่ต้องแปลหรือตีความ การปฎิบัติก็ระลึกกับมาที่กายที่ใจ เห็นความอยากในกาม
เห็นความพยาบาท เห็นความหดหู่ ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย ได้ชัดเจน
เห็นเองรู้สึกเองได้ว่าตอนนี้ขณะนี้มีนิวรณ์เหล่านี้ทุกๆลมหายใจเข้าออกหรือเปล่า
ถ้าเห็นก็ละไป ถ้าไม่เห็นก็หมั่นดูแลไว้เสมออย่าให้นิวรณ์หลุดเข้ามาครอบครองบ่อยๆจนชินเป็นนิสัย
ตอนที่ไม่มีนิวรณ์เข้าช่วงสั้นๆนั้นความสุขปิติก็ปรากฏ
ไม่รู้ว่าที่เคยทุกข์ไปอยู่ไหนเพราะดับไปแล้วชั่วคราว ปัญญาที่คิดเอาเองว่าต้องสร้างต้องฝึกให้มีกำลังนั้น
เมื่อมีการเห็นนิวรณ์บ่อยเข้าก็จะเข้าใจการเกิดการดับชัดเจนขึ้น สิ่งนี้ใช่ปัญญาหรือเปล่าผู้ปฎิบัติก็จะเข้าใจเอง
ธรรมะการเสริมสร้างกำลังของปัญญาด้วยการละนิวรณ์
ในสมัยปัจจุบันอาจจะแตกต่างไป
ลองดูตัวอย่างจากหนังสือแนวคิดใหม่ที่ใช้ฝึกสมองฝึกปัญญาตามแผงหนังสือ
ซึ่งผู้แต่งให้ความสนใจที่จะพัฒนาหรือคงสภาพของความเฉลียวฉลาดของผู้คนให้มากด้วยวิธีการทางคณิตศาสตร์
การมีสังคม การคิดทางด้านตรรกะ การเล่นเกม การเขียนหนังสือเหมือนที่ผู้เขียนกำลังทำอยู่
หรือว่าปัญญาที่พูดถึงในปัจจุบันนี้ไม่ได้หมายถึงปัญญาที่ใช้ในการพ้นทุกข์อีกต่อไปแล้ว
@นั่งเก้าอี้
@นั่งเก้าอี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น