มหาภูต รูป ดิน น้ำ ลม ไฟ ย่อม ดับ ไม่มีเหลือ



คำถามหลายอย่างในพระไตรปิฎก จะเข้าใจที่มาที่ไปคงยาก เพราะคนตั้งคำถามได้คำถามนี้มาด้วยภูมิธรรมของแต่ละท่าน ความยากง่ายของคำถามก็ขึ้นกับคนตอบเหมือนกันถึงตอบแล้วมีเหตุผลคนถามก็อาจจะไม่เชื่อ ข้อนี้ในสมัยพุทธกาลโชคดีที่มีพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์บำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้ญานที่เรียกว่าเห็นแจ้งในทุกปัญหา การดับทุกข์ นิพพาน เป็นหนึ่งในการเห็นแจ้งนั้น 


จึงจะพบว่าทุกสารทิศจะมาเข้าเฝ้าเพื่อถามปัญหาต่างๆในยุคสมัยนั้น ถ้าเป็นยุคนี้คนอาจจะถามคำถามอีกแบบ เช่นมนุษย์ต่างดาวมีอยู่หรือไม่? บิกแบงใช่คำตอบของการเกิดจักรวาลหรือไม่? โคลนนิ่งมนุษย์ผิดธรรมะหรือไม่? อายุของโลกนี้ยาวนานเท่าไหร่? อะไรจะมาแทน Internet?


ก็มีหลายคำถามที่พระพุทธเจ้าไม่ตอบเพราะนอกจากจะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ แต่กลับจะเพิ่มทุกข์เข้าไปอีก เท่าที่อ่านเจอในพระไตรปิฎกก็จะเน้นเรื่องการพ้นทุกข์เป็นหลัก และพระพุทธองค์ทรงชี้ว่าเป็นเรื่องแรกก่อนทุกเรื่อง ก่อนเรื่องการเมือง การปกครอง ศิลป วิทยา แขนงอื่นๆ เพราะเปรียบว่าคนมีความทุกข์อยู่ทุกขณะเหมือนไฟกำลังไหม้อยู่บนหัว ถ้าไฟกำลังไหม้อยู่บนหัวจริงคงไม่มีใครมามัวถามเรื่องข้าว เรื่องน้ำ การเมือง เรื่องละคร ชีวิตส่วนตัวของดาราคนโปรด หรือจะมีเทคนิคเอาชนะเกมโปรดได้อย่างไร นอกจากนั้นในหัวข้อที่คนสมัยนั้นถามถ้าพระองค์ชักจูงกลับมาเรื่องการปฎิบัติเพื่อพ้นทุกข์ก็จะใช้วิธีนั้นเสมอ
คนที่ยังใช้เวลากับเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องพ้นทุกข์ ก็คงอาจจะตีความคำว่าทุกข์แตกต่างออกไปจากความหมายของพุทธศาสนา ก็ใช้เวลาในวัฎฎสงสารยาวไปเรื่อยๆ
จาก http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=09&A=7317&Z=7898

 พระสูตรเรื่องนี้อยู่ตอนท้ายๆ ภิกษุในสำนักของพระพุทธเจ้าเองเป็นคนสงสัย ภิกษุรูปนี้มีฌานแก่กล้าถึงขนาดเข้าฌานไปได้ถึงสวรรค์ทุกชั้นถามไปตลอดแต่ก็ไม่มีเทวดาชั้นไหนตอบได้จนถึงชั้นสูงสุดคือชั้นพรหม แล้วถามท้าวมหาพรหมที่เป็นใหญ่ที่สุดในโลกสวรรค์ ว่า "มหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน?"

ตรงนี้น่ารักน่าขันดีที่ท้าวมหาพรหมตอบว่าเราเป็นใหญ่ เราเป็นผู้สร้าง ผู้เนรมิต..., พอภิกษุบอกว่าไม่ได้ถามอย่างนั้นตอบไม่ตรง ท้าวมหาพรหมก็จับแขนพาไปที่ลับตาเหล่าเทวดาแล้วบอกว่าเราก็ตอบไม่ได้แต่จะบอกต่อหน้าเทวดาทั้งหลายว่าไม่รู้ก็ไม่ได้ เธอผิดเองมาจากพระพุทธเจ้าซึ่งตอบได้ทุกอย่างแต่กลับหลงมาถามที่อื่น ที่ว่าน่ารักดีก็คือท้าวมหาพรหมก็ยังมีการรักษาหน้าตาของความเป็นหัวหน้าอยู่ ดูเหมือนยังมีส่วนของมนุษย์อยู่มากเหมือนกัน
ท้ายสุดภิกษุหรือนั้นก็กลับมาพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าตั้งคำถามผิด ที่ถูกคืออะไรและคำตอบก็คือ


[๓๔๘] ดูกรเกวัฏฏ์ ลำดับนั้น ภิกษุนั้นได้หายไปที่พรหมโลก มาปรากฏข้างหน้าเราเปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้อยู่ออกไป หรือคู้แขนที่เหยียดไว้เข้ามา ฉะนั้น. ต่อนั้นเธอไหว้เราแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้ถามเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
มหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน
เมื่อเธอกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้ตอบว่า ดูกรภิกษุ เรื่องเคยมีมาแล้ว พวกพ่อค้าเดินเรือทะเลย่อมจับนกตีรทัสสี (นกดูฝั่ง) ลงเรือไปด้วย เมื่อไม่เห็นฝั่ง เขาย่อมปล่อยนกตีรทัสสีมันบินไปยังทิศบูรพา ทิศทักษิณ ทิศปัจจิม ทิศอุดร ทิศเบื้องบน ทิศน้อย ถ้ามันแลเห็นฝั่งโดยรอบมันก็บินเลยไป ถ้ามันแลไม่เห็นฝั่งโดยรอบ มันก็จะกลับมายังเรือนั้นอีก ดูกรภิกษุเธอก็ฉันนั้นแล เที่ยวแสวงหาจนถึงพรหมโลก ก็ไม่ได้รับพยากรณ์ปัญหานี้ ในที่สุดก็ต้องกลับมาหายังสำนักเรานั่นเอง
ปัญหาข้อนี้เธอมิควรถามอย่างนั้น แต่ควรถามอย่างนี้.

แถลงปัญหามหาภูต
[๓๔๙] ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้. ในปัญหานั้น มีพยากรณ์ดังต่อไปนี้    
         
[๓๕๐] ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้. อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ใน ธรรมชาตินี้. นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้. เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว. เกวัฏฏ์ คฤหบดีบุตรมีใจชื่นชม เพลิดเพลิน ภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.


คำตอบก็ยังยากสำหรับผู้เขียนที่จะทำความเข้าใจอยู๋ แต่ธรรมชาติที่รู้แจ้ง นี้คงเป็นอีกชื่อหนึ่งของการพ้นทุกข์เมื่อนามรูปดับลง




@นั่งเก้าอี้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น