คน พาล บัณฑิต ต้อง อยู่ ร่วม กัน




ทุกคนคงบอกว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นบัณฑิต ไม่มากก็น้อย ซื่งก็ควรอยู่ ถ้าเราไม่มีอะไรควรค่ากับคำว่าเป็นคนดี หรือ บัณฑิตเลยคงจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ที่มีคนแบบนี้หรือที่หาความดีในตัวเองไม่ได้เลย หรือไม่เคยทำความดีเลยมาในชีวิตนี้ เรื่องนี้ก็ไม่เคยมีตัวอย่างของคนเลวทั้งชีวิตแบบนั้นในพระไตรปิฎก 
เราเองก็คงอยู่กับคนอื่นๆ พึ่งพาคนอื่น มีความสัมพันธ์กับคนอื่น ในบทบาทที่แตกต่างกันออกไป และคงจะเป็นเรื่องดีแน่ที่เราทุกคนรู้เสมอว่ารอบตัวเรามีคนดีบ้างส่วนในตัวทุกคน

คนที่เราโกรธเกลียด ชังเขาก็ล้วนมีคนที่รักเขาอยู่บ้างเพราะคงมีคนเห็นในส่วนดีบ้าง ตามตรรกะง่ายๆแบบนี้เราก็น่าจะให้อภัยกันได้ง่ายขึ้น 
สำหรับผู้เขียนทำได้ยาก ให้อภัยคนอื่นยากเหมือนเป็นแผลเป็นที่ไม่มีวันหาย ขึ้โกรธ โมโหง่ายกับเรื่องเพียงเล็กน้อย ปรับใจได้ยากที่จะอยู่ร่วมกับคนที่ตัวเองเกลียดในสังคม เลยต้องพึ่งพระไตรปิฎกเป็นกัลยาณมิตรคอยเตือน คอยปลอบ คอยฝึก ไปทีละน้อย เพือได้ลดละ ความโกรธความโลภหลงลงบ้าง ไม่ใช่เพื่อความสุขอย่างเดียว แต่เพื่อการเรียนรู้และปลูกศรัทธาไว้ว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้าชี้ทางไว้เป็นเรื่องจริงเป็นทางออกสำหรับผู้ต้องการพ้นทุกข์ทั้งหลาย

พระสูตรนี้ชี้ให้เห็นชัดว่าคน พาล บัณฑิต แตกต่างกันอย่างไร ในความรู้ปรัชญาทางฝั่งกรีก เชื่อว่าเรื่องดีเลวเป็นเพียงภาพลวงตาของแต่ละคน ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าดีหรือเลวจึงเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ตามสถานการณ์ตามบุคคลแต่ในศาสนาพุทธไม่เปลี่ยนเลย คนดี คนเลวถูกแยกไว้ด้วย การกระทำทาง กาย วาจา ใจ มากน้อยแตกต่างกันกรรมจะจัดสรรให้ได้รับวิบากแตกต่างกันไป ที่เยี่ยมยอดไปกว่านั้นพุทธศาสนายังบอกถึงการพ้นไปจากทั้งดี เลวเหล่านั้น
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=20&A=2630&Z=2653

มีข้อความสำคัญที่เน้นว่าปัจจุบันอยู่บ่อยๆในพระไตรปิฎก ผู้เขียนเองแต่ก่อนไม่เคยใส่ใจ แต่พอเริ่มพิจารณาว่าเป็นปัจจุบันนั้นสำคัญ ทุกครั้งที่เห็นคำว่าปัจจุบันในพระไตรปิฎก ก็จะสะดุดและพิจารณาซ้ำ เพื่อนบ้านลิวลองสังเกตดู

เมื่อเราต้องอยู่กับคนที่ตรงกับความหมายว่าคนเลวในพระไตรปิฎกแล้วต้องทำอย่างไร ทางออกก็คงไม่พ้นว่าหลีกดีกว่าถือเป็นมงคลข้อแรกสุดในพุทธศาสนาเช่นกัน 
แต่ถ้าต้องอยู่หลีกไม่ได้ ก็คงต้องเอาข้อคิดของหลวงพ่อท่านหนึ่งที่ใช้เวลาก่อกำแพงในวัดด้วยความตั้งใจมากทำสวยสมบูรณ์ ที่เดียวแต่ก็ทำพลาดไปบางจุด เพราะความตั้งใจมากก็จะคอยเก็บมาคิดมากังวลว่าแขกที่มาเยี่ยมวัดจะสังเกตเห็น ติดใจอยู่อย่างนั้น แม้ใครมาก็ชมว่ากำแพงสวยมากก็จะไปคิดถึงจุดด้อยเสมอ ท้ายสุดก็มาคิดได้ว่า คนเราก็เช่นกันที่มัวใช้เวลาอย่างมากซ้ำแล้วซ้ำอีกคิดถึงสิ่งที่เป็นตำหนิ ความเลวทั้งของตนเอง และของคนอื่นลืมนึกถึงความดีอีกตั้งเยอะที่เคยทำมา ความสุขอีกตั้งมากมายเป็นพื้นรองรับอยู่กลับมองไม่เห็น


เป็นกำลังใจให้ทุกคนและตัวเองที่ตั้งความเพียรต่อไปแม้นเชื่อและศรัทธาในพระพุทธเจ้าที่ชี้ชัดไว้แล้วว่าจะเป็นคนดี และ เลวเป็นอย่างไรก็เพียรพยายามอย่าได้หลุดไปกับความคิดที่ว่าดีเลวขี้นอยู่กับใครพูดใครคิดเลย ท้ายสุดก็จะเข้าข้างตัวเองแม้ทำเลวแล้วก็จะไม่ละอายอีกต่อไป



@นั่งเก้าอี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น