สัตว์ บุคคล ตัว ตน เขา เรา

การไม่มีตัวตน เขา เรา หัวข้อนี้พูดถึงกันมาก ทั้งในหมู่ชาวพุทธ และศาสนาอื่น การทำความเข้าใจก็ยากลำบาก อ่านดูก็พอเข้าใจแต่ก็ไม่สัมผัสได้จริง ก็เลยขาดความเชื่อมั่น ผู้เขียนเองก็ลังเลเมื่อต้องเขียนเรื่องนี้เพราะคงทำได้ไม่ลึกซึ้งพิสดารเหมือนที่อยู่ในพระไตรปิฎก ขอแนะนำให้อ่านจากพระไตรปิฎกจริงๆแล้วตอบตัวเองอย่างจริงใจว่าเข้าใจอย่างไร



ในศาสนาต่างๆมีการเริ่มต้นด้วยตัวตน เราทำดี เราทำชั่ว เรามีพระเจ้า เราอยากได้ เรารับ แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่เว้นการพูดถึงบุคคลต่างๆ แต่ก็ยังยืนยันถึงการสมมติ ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นความแตกต่างจากศาสนาอื่นๆอย่างยิ่ง จนบางคนรวมถึงชาวพุทธเองยังคิดว่าเป็นความเชื่อไม่ใช่ความจริง บางคนบอกว่าเชื่อแบบนั้นไม่ได้เพราะกลายเป็นทำบุญ ทำบาป ไม่มีผล เพราะ ไม่มีตัวตน ความคิดแบบนั้นก็หนักไปทางฝั่งใดฝั่งหนึ่งซึ่งก็มีมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ก็ทรงแนะทางสายกลางให้เพื่อพ้นจากทิฐิเหล่านั้น

ตัวอย่างสำคัญในปฎิจสมุปบาท ที่เริ่มด้วย อวิชาเป็นปัจจัย ให้เกิด สังขาร วิญญาน นามรูป อาฬยะตนผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ

ไม่มีปัจจัย ที่ว่าเป็นตัวตน มีเรา ตัวเราจริงๆ แต่มี อุปทานเป็นปัจจัยต่อเนื่องทำให้เกิดภพ เกิดชาติขึ้นมา
แต่เราจะคิดว่าตัวเองอุปทานอยู่ในขณะนี้หรือ  คงจะมีคนโต้แย้งทั้งนั้น  ทั้งๆที่เราก็รู้สึกตัวอยู่มีสติอยู่ทำไมจึงบอกว่าไม่มีตัวตน

เมื่อพิจารณาในพระไตรปิฎก ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มีส่วนหนึ่งที่น่าสนใจคือการพิจารณาใน "ปัจจุบัน"

เธอค้นหาสัตว์บุคคลในขันธ์ ๕ เหล่านี้ในปัจจุบันไม่ได้เลย
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=2586&Z=2679&pagebreak=0

ดังนั้นเมื่อเน้นที่ปัจจุบันวิธีที่สังเกตได้ว่าอุปทานอยู่อาจจะต้องนั่งลงทำใจให้สงบแล้วเจริญวิปัสนาสังเกตลมหายใจเข้าออกจนได้ความรู้เบื้องต้นในเรื่องรูปนามแล้วแยกแยะออกได้บ้างว่าส่วนรูปนามมีเป็นส่วนๆ เกิด ดับ เกิด ดับ หมุนเวียนอยู่อย่างนั้น และเมื่อจิตใจจดจ่อกับรูปนามได้ดี เป็นปัจจุบันสม่ำเสมอก็จะเห็นชัดขึ้น ง่ายขึ้น ว่าที่ปัจจุบันนั้น ส่วนที่เป็นตัวตน หายไป ไม่มีอยู่

ซึ่งบางทีความสม่ำเสมอก็จะคลายไปบ้าง จะเห็นว่ามีตัวตนเกิดหลงไปในอดีตที่เคยเกิดขึ้นแล้วว่านายคนนั้น นายคนนี้ ชื่อนั้น ชื่อนี้เคยทำอย่างนั้นอย่างนี้ หรือหลงไปในอนาคต ว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ วางแผน วางเป้าหมายอย่างนั้นอย่างนี้ พอปัจจุบันชัดที่หลงไปก็กลับมาสู่ปัจจุบันที่ไม่มีตัวตนอีก

การเจริญวิปัสนาก็ช่วยย่อยชีวิตก้อนใหญ่ให้เล็กลงเล็กลง ละเอียดลงมาสู่ความเป็นปัจจุบันมากขึ้นจนเห็นเองว่าชีวิตทั้งหมดอาจจะกำลังหลงอยู่มีตัวตนอยู่อย่างต่อเนื่อง




แล้วการเจริญวิปัสนาเพื่อให้เห็นสิ่งนี้มีประโยชน์อะไร ก็เมื่อเห็นแล้วว่าแท้จริงที่เป็นปัจจุบันไม่มีสัตว์ บุคคล เรา เขา อุปทานก็ไม่มี จะมีช่วงที่พ้นไปจากอวิชชาเป็นพักๆ ไม่มีอวิชชาก็ไม่มีการเกิด ไม่มีการเกิดก็ไม่มีทุกข์ (เหมือนในบทก่อนเรื่องความเกิดเป็นทุกข์)

เมื่อทำบ่อยเข้า พุทธศาสนาเหมือนกันที่บอกว่ามีจุดสิ้นสุดรออยู่ อวิชชาไม่สามารถครอบงำอีกต่อไปทุกข์จะพ้นไป การเกิดอีกไม่มีแล้ว



@นั่งเก้าอี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น