ผล ปัจจุบัน สามัญผล


ความน่าสนใจของเรี่องนี้ ที่มีการเปรียบเทียบ คำตอบจากคำถามเดียวกันที่ถามทุกๆครูของศาสนาชั้นนำในสมัยนั้น รวมทั้งพระพุทธเจ้า
โดยเป็นคำถามจากพระเจ้าอชาติศัตรู ซึ่งเป็นพระราชาที่ประหารบิดาตนเอง และมีความหวาดระแวงสูง ในคืนวันเพ็ญหนึ่งที่บรรยากาศน้อมไปในทางกุศล เกิดอยากฟังธรรมก็ถามคนสนิททั้งหลายว่าควรไปฟังธรรมจากใครดี หลายคนแนะนำก็ไม่สนใจครูอาจารย์ต่างๆเพราะเคยไปถามมาแล้วได้คำตอบไม่ตรงกับคำถาม สุดท้ายหมอชีวกแนะนำว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในสวนของหมอพร้อมทั้งภิกษุ 1250 รุป ก็เสด็จไปพบในคืนนั้น ไปถึงก็หวาดระแวงกลัวหมอชีวกลวงมาฆ่าเพราะ มีภิกษุอยู่เป็นพันแต่ไม่มีเสียงรบกวนเลย



เมื่อพบพระพุทธเจ้าก็เล่าเรื่องว่าตั้งคำถามกับครูอาจารย์หลายสำนักด้วยคำถามเดียวกันมีใจความทำนองว่า คนทั่วไปที่มีศิลปวิทยาต่างๆก็ประกอบอาชีพแตกต่างกันไป คนเหล่านั้นเมื่อได้ทรัพย์ก็นำมาเลี้ยงครอบครัว และก็ทำบุญทำทานไป ถามว่าจะได้ผลได้บุญอะไรในปัจจุบัน ครูแต่ละสำนักก็ตอบไปตามภูมิรู้ของตัวเอง ก็น่าสนใจในลัทธิสมัยนั้นว่ามีความเชื่อคล้ายปัจจุบันเหมือนกันในบางสำนักเช่น
ครู ปูรณ กัสสป ตอบว่า ทำบุญทำบาปไม่มีผล ต่อให้ฆ่าคนหมดฝั่งแม่น้ำหนึ่ง แล้วกลับมาทำบุญกับอีก
ฝั่งก็ไม่ได้อะไร
ครู มักขลิ โคศาล ตอบว่า คนพาลหรือบัณฑิตก็เร่ร่อน ท่องเที่ยวไปตามวัฏฏสงสารจนหมดทุกข์ไปเอง
ครู อชิตะ เกสกัมพล ตอบว่า บุญบาปไม่มี พ่อแม่ไม่มี การรู้แจ้งไม่มี ตายไปแล้วก็สูญ
ครู กุธะ กัจจายนะ ตอบว่า มีสภาวะอยู่ 7 กอง คือ สุข ทุกข์ ชีวะ ดิน น้ำ ไฟ ลม จะทำบุญบาป ตัดคอใครก็เป็นการตัดผ่านไปในช่องว่างกองต่างๆ
ครู นิครนถ์ นาฏบุตร ตอบว่า มีสังวร 4 คือ ผู้ห้ามน้ำ ผู้ประกอบด้วยน้ำ ผู้กำจัดน้ำ ผู้ประพรมน้ำ ไม่มีอะไร
ครู สญชัย เวลัฏฐบุตร ตอบว่า ถ้าถามครูว่ามีโลก มีเกิด มีตาย ก่อนหลังเป็นอย่างไร วิบากเป็นอย่างไร ถ้าครูคิดว่ามีก็มี ถ้าคิดว่าไม่มีก็ไม่มี
พระเจ้าอชาติศัตรูรู้สึกว่าถามอย่างตอบอย่างไม่ได้อะไร เมื่อถามพระพุทธเจ้าบ้างก็ได้รับคำตอบทีละเอียดมาก สำหรับผู้เขียนแล้วชาวพุทธควรอ่านตรงนี้อย่างละเอียดทีเดียว

พระพุทธเจ้าเริ่มถามย้อนกลับพระราชาว่าถ้าทาส หรือชาวนาเห็นพระราชาอยู่สุขสบายก็เลยอยากสร้างบุญด้วยการถือบวชเคร่งครัดจะได้มีบุญได้สุขสบายกว่าชาตินี้บ้าง พระราชาจะเคารพคนเหล่านี้หรือเปล่าพระราชาก็ตอบว่าต้องเคารพแน่ พระพุทธเจ้าก็บอกว่านี่เป็นผลบุญในปัจจุบันแล้ว พระราชาก็ถามว่ามีบุญอะไรที่ดีกว่าอีก
คราวนี้พระพุทธเจ้าก็เริ่มสอนการรักษาศีลเริ่มด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ไล่เรียงไป ผลก็คือไม่ประสพภัยใด เสวยสุขปราศจากโทษภายใน
ขั้นต่อไปถ้าสำรวมอินทรีย์ ก็จะเสวยสุขโดยไม่มีกิเลสมารบกวน
ต่อไปถ้ามีสติรู้ตัว รักสันโดษ ก็จะละนิวรณ์ 5 (คือละความหดหู่ ความฟุ้งซ่าน ความรัก ความพยาบาท ความลังเลสังสัย) และก็จะเกิดปราโมช ปิติ เข้าสู่ปฐมฌาน (สังเกตฌาน ไม่ใช่ญาน)
ต่อไป ถ้าละวิตกวิจาร ก็จะเข้าสู่ ทุติยฌาน
ต่อไป ละปิติ ก็เข้าสู่ ติตยฌาน
ต่อไป ละสุข มีอุเบกขาให้สติบริสุทธิ์อยู่ ก็อยู่ในจตุตฌาน
ต่อไป จิตอ่อน เหมาะแก่งานแล้วก็จะพิจารณาเห็นในกาย ในวิญญาน ตามจริง เข้าสู่วิปัสนาญาน (สังเกตญานไม่ใช่ฌาน)
ต่อไป เป็นมโนมยิทธิญาน อิทธิวิธีญาน ทิพยโสต เจโต ปริยญาน ปุพเพนิวาสานุสสติญาน จุตูปปาตญาน ซึ่งเริ่มเป็นญานที่มีอำนาจเกินมนุษย์ปกติแล้วเช่นเหาะได้
จนในที่สุด ถึง อาสวักขยญาน จะรู้อริยสัจส์ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรท ทุกขนิโรธคามินีปฎิปทา ซึ่งเป็นความสุขที่สุดแล้วไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่าอีกแล้ว ผลเกิดในปัจจุบันนี้เอง
ได้ฟังแล้วพระอชาติศัตรูเลื่อมใสในคำสั่งสอนที่ละเอียดอย่างยิ่งนี้ก็แสดงตนเป็นอุบาสกตลอดชีวิต เมื่อพระราชากลับไป พระพุทธเจ้าก็บอกกับภิกษุว่าถ้าไม่ใช่เพราะ บาปเคยประหารบิดา พระราชานี้จะได้ดวงตาเห็นธรรมคราวนี้ทีเดียว


เป็นเรื่องที่ดีมากในพระไตรปิฎกเรื่องหนึ่งที่ชาวพุทธไม่ควรพลาด ได้มุมมองต่างๆมากมาย รายละเอียดในการเจริญวิปัสสนา ตั้งต้นจากรักษาศีลไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์เรียบเรียงไว้ชัดเจน เป็นลำดับให้เข้าใจได้ดี ความหลงผิดในยุคสมัยนั้นดูจะไม่ต่างจากสมัยนี้เลย


@นั่งเก้าอี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น