ยึดมั่นถือมั่น
วันนี้ได้อ่านพระสูตรหนึ่งที่พูดถึงความยึดมั่นถือมั่นที่คนทั่วไปมักได้ยินพระเทศน์บ่อยๆว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่น
คงจะมีพระสูตรอื่นๆกล่าวถึงเรื่องการยึดมั่นถือมั่นไว้ว่าเป็นสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้ก้าวหน้าในการปฎิบัติธรรม
แต่ผู้เขียนชอบพระสูตรนี้ตรงที่พระพุทธองค์แสดงไว้ชัดเจนว่าถ้ายังสำคัญตัวเองว่า
ดีกว่า เสมอตัว หรือเลวกว่าคนอื่นก็ยังคงยึดมั่นถือมั่นอยู่
และพระพุทธองค์ยังทรงแสดงไว้ชัดเจนว่าสิ่งที่เรายังยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้นก็คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราเองนี่แหละ สำหรับผู้เขียนแล้วนี้คือความสว่างอย่างหนึ่งที่เคยเข้าใจผิดมาตลอดว่ายึดมั่นถือมั่นหมายถึงใน
ทรัพย์ อำนาจ วาสนา รูปสวย มีอภินิหาร เฉลียวฉลาด มีฝีมือ มีต่ำแหน่งในสังคม หรือการเปรียบเทียบทั้งหลายว่าเป็นการยึดมั่นถือมั่น
ตอนนี้จากพระสูตรนี้บอกไว้ชัดเจนแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราเองนี่แหละที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์พอไปยึดมั่นถือมั่นเข้าแล้วก็เกิดการเปรียบเทียบว่าดีกว่า
เสมอกัน เลวกว่าผู้อื่น
คราวนี้พอเข้าใจแล้วว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์นี้
ก็คงกลับมาดูที่ ตัวเองเป็นหลักนั่นเอง และเมื่อผู้ปฎิบัติยังคงมีความสำคัญตนเองว่าดีกว่าเลวกว่าเสมอกันกับผู้อืนอยู่ในระหว่างทางปฎิบัติ
ก็คงพอจะนำพระสูตรนี้มาเตือนใจได้ว่าควรกลับไปพิจารณาที่ใด
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
|
|
เพราะยึดมั่นอะไร ถือมั่นอะไร จึงมีความสำคัญตนว่า ประเสริฐกว่าเขา
เสมอเขา
หรือว่าเลวกว่าเขา ฯ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธรรมทั้งหลายของพวก
ข้าพระองค์ มีพระผู้มีพระภาคเป็นต้นเหตุ ฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อจักษุมี เพราะยึดมั่นจักษุ
ถือมั่นจักษุ จึง
มีความสำคัญตนว่า ประเสริฐกว่าเขา เสมอเขา หรือว่าเลวกว่าเขา ฯลฯ
เมื่อใจมี
เพราะยึดมั่นใจ ถือมั่นใจ จึงมีความสำคัญตนว่า ประเสริฐกว่าเขา
เสมอเขา
หรือว่าเลวกว่าเขา ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า ฯ
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ไม่ยึดมั่น
สิ่งนั้นแล้ว จะพึงมีความสำคัญตนว่า เป็นผู้ประเสริฐกว่าเขา
เสมอเขา หรือว่า
เลวกว่าเขา บ้างหรือหนอ ฯ
ภิ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯลฯ
พ. ใจเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ไม่ยึดมั่น
สิ่งนั้นแล้ว จะพึงมีความสำคัญตนว่า ประเสริฐกว่าเขา เสมอเขา
หรือว่าเลว
กว่าเขา บ้างหรือหนอ ฯ
ภิ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อม
เบื่อหน่ายทั้งในจักษุ ฯลฯ ทั้งในใจ เมื่อเบื่อหน่าย
ย่อมคลายกำหนัด เพราะ
คลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า
หลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว
กิจอื่น
เพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี ฯ
จบสูตรที่ ๕
@นั่งเก้าอี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น