เรี่องนี้ในพระสูตรอ่านแล้วจับใจความได้ว่าคนเหงาทั้งหลาย
อาจรวมถึงคนไม่มีเพื่อนอยู่คนเดียว คนโสด ยังไม่ใช่ “ผู้มีปกติอยู่คนเดียว”แบบที่พระพุทธเจ้าหมายถึง
ด้วยความที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน
สนับสนุนให้เป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียวบ่อยๆ
ก็มีพระมิคชาลเกิดสงสัยและเข้าเฝ้าเพื่อตั้งคำถามนี้ตรงๆ
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตอบนั้นต้องถือว่าห่างไกลจากความเข้าใจของชาวบ้านทั่วไป
เพราะเป็นการเน้นที่การมีปกติอยู่ผู้เดียวระดับจิตใจที่ไม่เข้าไปหมกหมุ่นเพลินเพลินในการเห็นรูป
ได้กลิ่น ได้ยินเสียง ได้รับรส รู้ร้อนหนาว หรือการสัมผัสธรรมารมณ์ต่างๆ
และสิ่งต่างๆที่กล่าวมาถ้ายังเข้าไปเพลิดเพลินอยู่ก็ยังถือว่ามีเพื่อน
ต่อให้ไปอยู่ในป่าในดอยคนเดียวก็ยังไม่ถือว่าเป็นผู้มีปกติอยู่คนเดียว
และในทางตรงกันข้ามกันต่อให้อยู่ในตลาดในกลุ่มคนใดถ้าในระดับจิตใจแล้วแยกตัวออกไปไม่หมกหมุ่นเพลิดเพลินอยู่ยังพอเป็นผู้มีปกติอยู่ผู้เดียวตามความหมายของพระพุทธเจ้าได้เช่นกัน
อย่างที่เราเป็นคนเงียบๆนั่งเล่นเน็ตอยู่คนเดียว
หรือ
เป็นคนอกหักเหงาอยู่คนเดียวนี้ก็ยังถือว่าเพลิดเพลินกับเน็ตกับความเหงาหรือมีความเหงาเป็นเพื่อนอยู่ยังห่างไกลจากการเป็นผู้อยู่คนเดียวในทางพุทธจริงๆ
เรี่องนี้มีความสำคัญมากเพราะพระพุทธเจ้าเน้นว่าเมื่อไม่ยินดี
ไม่มีความเพลิดเพลิน ความเพลิดเพลินก็ดับ ความทุกข์ก็ดับ พระมิคชาลเมื่อน้อมนำไปปฎิบัติปลีกตัวไปอยู่ผู้เดียวทำความเพียรจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
@นั่งเก้าอี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น