มาร จอมมารทั้งหลายที่เราชาวพุทธรู้จักในเรื่องที่
มารได้โอกาศมาทูลขอให้พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพานก่อนที่พระอานนท์จะได้ขอให้พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ต่อ
หรือ มารที่เป็นกิเลสในใจเราที่ออกมากวนเวลาทำให้พลาดสิ่งสำคัญในชีวิตไป
หรือมารคือคนที่มักจะพบว่าคอยขวางทางบุญทางกุศลของเราชาวพุทธทั้งหลาย หรือคนบางคนที่คอยชักนำคนอื่นปฎิบัติต่อคนอื่นไปโดยมากชาวพุทธจะเชื่อว่ามารนั้นเป็นสิ่งนอกตัว
ความทุกข์ยาก อุปสรรค เป็นไปในทางร้ายที่คอยขัดขวางความสำเร็จต่างๆ
อย่างภาษิตที่ว่า”มารไม่มีบารมีไม่เกิด”ก็ใช่เหมือนกัน
เมื่อพบพระสูตรที่มีพระภิกษุถามพระพุทธเจ้าตรงๆเลยว่ามาร
หรือ ที่เรียกว่ามารนี้ อย่างไรจึงจะเรียกว่ามาร
เลยเป็นเรื่องน่าสนใจเราเองก็เข้าใจผิดอยู่หลายอย่าง
พระพุทธเจ้าตอบว่า เมื่อมีตา มีรูป
มีการรับรู้การเห็น(วิญญาณจักษุ) มีธรรมที่รู้แจ้งด้วยการเห็น
อยู่ที่ใดมารหรือบัญญัติว่ามารมีอยู่ เช่นเดียวกันกับ หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ
ดังนั้นมารก็เกิดได้ที่ อายตนะทั้ง 6 ที่กล่าวมานั้นเอง
ลองพิจารณาอย่างนี้ว่า มีตา มีรูป
มีการรับรู้การเห็น ทั้ง 3 อย่างนี้คือ ผัสสะในความหมายหนึ่ง
ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา คือ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
ซึ่งก็เป็นส่วนธรรมที่รู้แจ้งด้วยการเห็น
อย่างนั้น มารก็มีอยู่ในสายของปฎิจสมุปปบาทแล้วเป็นโซ่สำคัญเส้นหนึ่งที่ต่อเนื่องไปสู่การเกิดทุกข์ทั้งหลายที่เป็นปัจจัยจากตัณหาและอุปทาน
หรือพิจารณาอีกอย่างผัสสะนี้เองที่สร้างมารขึ้นถ้าเราไม่คอยระมัดระวังเห็นตามความเป็นจริงของการเกิดผัสสะ
และก็ยังคงต้องระมัดระวังในทุกอายตนะเพราะเป็นแหล่งเกิดมารได้ทุกทาง เพราะเหตุนี้กระมังที่เราพบเสมอว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ระวังที่ผัสสะจากอายตนะทั้ง6 เป็นเรื่องที่สำคัญมากฐานของ การปฎิบัติในทุกเรื่องมักมารวมที่การระวังกายกับใจนี้
หรือลองพิจารณาอีกอย่างว่า
ถ้าไม่มีตา ก็ไม่เกิดมาร
ถ้ามีตา แต่มีรูปมากระทบ
ก็ไม่เกิดมาร
ตากับรูป
กระทบแต่ไม่มีการรับรู้การเห็นนั้น มารก็ไม่เกิด
มีตา มีรูป มีการรับรู้
ที่เรียกว่า ผัสสะ แต่ไม่มีธรรมที่พึ่งรู้แจ้งจากผัสสะนั้น มารก็ไม่เกิด
ทำนองเดียวกันนี้กับ หู จมูก ลิ้น
กาย ใจ
ดังนั้นเมื่อเราฝึกตนไว้คอยระวังเมื่อเกิดผัสสะที่ใดได้จดจ้องเห็นการเกิด
การดับ เพราะสิ่งที่เกิดธรรมดาก็ต้องมีดับ ผัสสะหรือธรรมรู้จากตรงนั้นก็ต้องดับ
เห็นอยู่บ่อยๆก็คือการฝึกการคอยระวังไม่ให้มารลากจูงใจไปสู่เรื่องต่างๆ ที่จริงเหมือนไม่ใช่เป็นการกำจัดมารแต่คอยดูว่ามารจะพาเราไปทางไหนการเห็นบ่อยเห็นมารเป็นศัตรูของเราที่จ้องจะคอยทำร้าย
มารจะไม่อยู่ในความมืดที่เรามองไม่เห็นอีกต่อไปคราวนี้ก็ง่ายเพราะถ้าเราเห็น มารก็กลัวเราเหมือนกันลากจูงเราไปไหนไม่ได้ มารก็ดับไปเองแล้วก็ไปโผล่ที่อื่นเรื่องอื่นต่ออีก
ถ้าพิจารณาอย่างนี้แล้วก็พบว่าชีวิตเราประกอบด้วยกายกับใจนี้ มีองค์ประกอบที่พร้อมเป็นมารอยู่ในตัวเองอยู่ทุกคนแล้ว
เป็นมาตั้งแต่รู้ความมารก็มาเป็นเพื่อนเราตลอด
อีกอย่างถ้าจะให้มารตายเราคงต้องตายไปด้วยเพราะต้องไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
และการรับรู้ต่างๆ แต่การรู้จักว่ามารคืออะไร เห็นการเกิดการดับของมารแล้ว
มารก็เป็นประโยชน์เป็นบทเรียนบทฝึกฝนที่ดีของเราเช่นกัน
ทีนี้คำว่า”มารไม่มีบารมีไม่เกิด”มีความหมายแตกต่างจากก่อนจะอ่านบทความนี้หรือเปล่า
กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล
ท่านพระสมิทธิเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า มาร มาร ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร
พระเจ้าข้า
จึงเป็นมารหรือการบัญญัติว่ามาร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรสมิทธิ จักษุ รูป
จักษุวิญญาณ ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด
มารหรือการบัญญัติ
ว่ามารก็มีอยู่ ณ ที่นั้น หู เสียง โสตวิญญาณ
ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตวิญญาณ
มีอยู่ ณ ที่ใด มารหรือการบัญญัติว่ามารก็มีอยู่ ณ ที่นั้น จมูก
กลิ่น ฆานวิญญาณ
ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยฆานวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด
มารหรือการบัญญัติว่ามารก็มี
อยู่ ณ ที่นั้น ลิ้น รส ชิวหาวิญญาณ
ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหาวิญญาณมีอยู่
ณ ที่ใด มารหรือการบัญญัติว่ามารก็มีอยู่ ณ ที่นั้น กาย โผฏฐัพพะ
กายวิญญาณ
ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยกายวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด
มารหรือการบัญญัติว่ามารก็มี
อยู่ ณ ที่นั้น ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ
ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ
มีอยู่ ณ ที่ใด มารหรือการบัญญัติว่ามารก็มีอยู่ ณ ที่นั้น ฯ
จักษุวิญญาณ ไม่มี ณ ที่ใด มารหรือการบัญญัติว่ามารก็ไม่มี ณ
ที่นั้น ฯลฯ ใจ
ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ ไม่มี ณ
ที่ใด
มารหรือการบัญญัติว่ามารก็ไม่มี ณ ที่นั้น ฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น